เม็กซิโก ปรับ ยอดตายโควิด เพิ่มอีก 60%

เม็กซิโก ปรับ ยอดตายโควิด เพิ่มอีก 60%

ทางการออกมาเปิดเผยว่ามีการปรับ ยอดตายโควิด เพิ่มขึ้นอีก 60% ทำให้ยอดตายขึ้นเป็นอันดับสอง หลังจากมีการตรวจสอบใบมรณภาพเพิ่มเติม โควิดเม็กซิโก – เมื่อวันที่ 29 มีนาคม สำนักข่าว BBC รายงานว่า กระทรวงสาธารณสุขสเปนได้เปิดยอดผู้เสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับโรคโควิด-19 เพิ่มขึ้นอีกร้อย 60 จากยอดผู้เสียชีวิตก่อนหน้านี้ ทำให้ยอดผู้เสียชีวิตในปัจจุบันมีมากกว่า 321,000 ศพ ขยับขึ้นมาเป็นอันดับที่สอง แซงหน้าบราซิล และเป็นรองสหรัฐอเมริกา โดยการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เกิดขึ้น หลังจากที่เจ้าหน้าที่ตรวจสอบผู้เสียชีวิตและใบมรณบัตร

ซึ่งก่อนหน้านี้ผู้เชี่ยวชาญเคยเตือนไว้แล้วว่า 

ยอดผู้ป่วยและยอดผู้เสียชีวิตจริงจะสูงกว่าที่รายงานเอาไว้ เนื่องจากประเทศเม็กซิโกเป็นประเทศที่มีการตรวจหาเชื้อที่น้อย รวมไปถึงโรงพยาบาลที่ไม่สามารถรองรับผู้ป่วย ได้ทำให้มีผู้เสียชีวิตบางส่วนตายที่บ้านพักของตน

โดยนาย อันเดรส มานูเอล โลเปซ โอบราดอร์ ประธานาธิบดีเม็กซิโก ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักถึงมาตรการป้องกันโควิด-19 โดยฝ่ายค้านชี้ว่าผู้นำเม็กซิโกไม่สนใจถึงความรุนแรงของเชื้อไวรัส พร้อมระบุว่านาย โอบราดอร์ เป็นต้นเหตุสำคัญที่ทำให้การฉีดวัคซีนโควิดล่าช้า

ในปัจจุบันประเทศเม็กซิโกได้ทำการฉีดวัคซีนต้านโควิดกับประชาชนแล้ว 6.1 ล้านโดส

มิน อ่อง หล่าย สั่งปิดถนนในจ.ท่าขี้เหล็ก เพื่อเดินทางไปไหว้พระเกจิดัง ก่อนบินต่อไปเป็นประธานในพิธีวางพวงมาลา ที่เชียงตุง

พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย ประธานสภารัฐประหารของประเทศเมียนมา พร้อมด้วยนายทหารระดับสูงหลายราย เดินทางด้วยเครื่องบินมาลงที่สนามบินท่าขี้เหล็ก เพื่อไปทำบุญและนมัสการครูบาแสงหล้า ที่วัดสายเมือง

โดยก่อนการมาถึงของคณะมิน อ่อง หล่าย ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารเมียนมาได้ปิดถนนสายหลัก  ห้ามยานพาหนะทุกชนิดผ่านและตั้งจุดตรวจอย่างแน่นหนาใน จ.ท่าขี้เหล็ก ตั้งแต่บริเวณสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา ไปจนถึงศาลากลางจังหวัด นอกจากนี้ ยังมีผู้สังเกตว่ามีพลซุ่มยิงประจำการตามตึกสูงทั่วเมืองอีกด้วย

หลังจากนั้นคณะของ มิน อ่อง หล่าย ก็ได้เดินทางต่อไปยังที่ตั้งกองบัญชาการกองทัพภาคสามเหลี่ยมที่ดูแลพื้นที่รัฐฉานตะวันออก จ.เชียงตุง เพื่อเป็นประธานในพิธีวางพวงมาลาใกล้ทะเลสาบนานตง

ชายอินเดียช่วยชีวิตเด็กตกรางรถไฟ หลังแม่ละสายตาจากลูก ชาวเน็ตแห่ยกย่องในความกล้าหาญของชายคนดังกล่าว ด้านทางการอินเดียมอบเงินรางวัล

เมื่อวันที่ 21 เมษายน สำนักข่าว ชาแนลนิวส์เอเชีย รายงานว่า กระทรวงการรถไฟอินเดียได้มอบเงินให้กับนาย มาเยอร์ เชลเก้ ชาวอินเดียวัย 30 ปี เป็นเงินราวๆ สองหมื่นบาท หลังจากที่กล้องวงจรปิดในชานชาลารถไฟในรัฐมหาราษฏ สามารถจับภาพวินาทีที่ชายคนดังกล่าว ช่วยชีวิตเด็ก 6 ขวบ ขณะที่รถไฟกำลังวิ่งเข้ามา

โดยเด็กชายวัย 6 ขวบ พลัดตกลงบนรางรถไฟ หลังจากแม่ละสายตาออกจากลูกชายเพียงไม่กี่นาที เมื่อแม่ของเด็กเห็นลูกของเธอตกลงไป เธอก็ได้ตะโกนร้องขอความช่วยเหลือ ซึ่งนาย เชลเก้ ที่ทำงานเป็นพนักงานรถไฟเห็นเหตุการณ์ และวิ่งเข้าไปเป็นระยะทางกว่า 30 เมตรเพื่อช่วยให้เด็กคนนี้รอดจากรถไฟที่วิ่งตรงมา ซึ่งสำนักข่าวระบุว่าเจ้าหน้าที่รถไฟดึงเด็กขึ้นมาได้สำเร็จเพียงราวๆ 2 วินาทีก่อนรถไฟจะทับร่าง

วีรบุรุษคนนี้ได้ให้สัมภาษณ์ว่า เขารู้สึกกลัวเช่นกัน แต่ว่าเขาไม่ได้คิดเรื่องนั้น เพราะเขามุ่งมั่งที่จะช่วยเหลือเด็กคนนี้ให้ได้ หลังจากคลิปดังกล่าวได้รับการเผยแพร่ออกไป ชาวเน็ตก็ได้ต่างชื่นชมความกล้าหาญของพนักงานรถไฟคนนี้ เช่นเดียวกันกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการถไฟอินเดียที่ยกย่องความกล้าหาญของชายคนดังกล่าว

อดีต ตร.ใช้เข่ากดคอ ‘จอร์จ ฟลอยด์’ ถูกตัดสินให้ผิดทุกข้อหา

ลูกขุนสหรัฐฯตัดสินให้เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้เข่ากดคอ ‘จอร์จ ฟลอยด์’ ให้มีความผิดทุกข้อหา อาจนอนคุกนาน หลาลสิบปี เมื่อวันที่ 21 เมษายน สำนักข่าว BBC รายงานว่า คณะลูกขุนศาลแขวง เฮนเนพิน ในเมืองมินนิแอโพลิส รัฐมินนิโซตา ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ตัดสินให้นาย เดเรค เชาวิน อดีตเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ใช้เข่ากดคอ จอร์จ ฟลอยด์ ชาวผิวดำจนเสียชีวิต เมื่อช่วงปีที่ผ่านมา ให้มีความผิดทุกข้อหา

โดยนายเชาวิน ถูกตัดสินให้มีความผิดในสามกระทงได้แก่ การทำให้ผู้อื่นเสียชีวิตโดยไม่เจตนาระหว่างก่อหรือพยายามก่ออาชญากรรมโดยใช้กำลังหรือความรุนแรง, ทำให้ผู้อื่นเสียชีวิตโดยไม่เจตนา โดยมีพฤติกรรมที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้อื่นอย่างเห็นได้ชัด และข้อหาทำให้มีผู้เสียชีวิตโดยประมาท

ซึ่งผู้ต้องหาจะถูกควบคุมตัวจนกว่าศาลจะมีคำพิพากษา ทั้งนี้นาย เชาวิน อาจถูกตัดสินให้จำคุกนานหลายสิบปี ซึ่งโทษสูงสุดของการทำให้ผู้อื่นเสียชีวิตโดยไม่เจตนา โดยมีพฤติกรรมที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้อื่นอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งเป็นโทษระดับสาม อยู่ที่ 40 ปี

จากคำตัดสินดังกล่าวทำให้ประชาชนจำนวนมากที่ยืนรออยู่ที่หน้าศาลต่างเฉลิมฉลองด้วยความยินดี โดยประชาชนกลุ่มผิวสีระบุว่าคำตัดสินดังกล่าวเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญกับการใช้ความรุนแรงของเจ้าหน้าที่ตำรวจกับประชาชนผิวดำ และพวกเขารู้สึกเหมือนถูก ยกภูเขาออกจากอก

ขณะที่อัยการระบุว่าการต่อสู้เพื่อความยุติธรรมให้กับจอร์จ ฟลอยด์ ไม่ได้สิ้นสุดลงเพียงแค่ตรงนี้

ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม เมื่อปีที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับรายงานว่า จอร์จ ฟลอยด์ ได้ซื้อบุหรี่ด้วยธนบัตรปลอม โดยผู้ตายปฏิเสธจะคืนบุหรี่ให้กับตำรวจ ส่งผลให้ทั้งสองฝ่ายเกิดการปะทะกัน 

Credit : ที่เที่ยวญี่ปุ่น | จัดอันดับต่างๆ | รีวิวของแบรนเนม | วิธีการลงทุนต่า